ในความเป็นจริงแล้ว มีน้ำมันส่วนที่เป็นน้ำมันสังเคราะห์
ประมาณ 10-20% เท่านั้นเอง ของน้ำมันกึ่งสังเคราะห์ทั้งหมด

ประมาณ 80-90%ที่เหลือ คือน้ำมันตั้งต้นที่เป็นผลพลอยได้

จากผลิตจากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม ซึ่งมีข้อเสียคือ

- มีกำมะถัน สามารถรวมตัวกับน้ำเป็นกรดกัดกร่อนชิ้นส่วนในเครื่องยนต์ได้

- ค่าดัชนีความหนืดต่ำ ทำให้ค่าความหนืดเปลี่ยนตามอุณหภูมิได้ง่าย เมื่อความร้อนสูง
ความหนืดและฟิลม์น้ำมันจะบางลงทำให้เกิดการสึกหรอเกิดขึ้นได้ง่าย

- ความไม่อิ่มตัว ทำให้เกิดการเปลี่ยนสภาพน้ำมันได้ง่าย เพราะจะไปรวมตัวกับโมเลกุล
ของออกซิเจนได้ง่าย ทำให้กลายเป็นคราบตะกอน หรือยางเหนียวได้

- โมเลกุลไม่สม่ำเสมอเนื่องจากมีสารประกอบหลายอย่างรวมถึง- โลหะหนักบางชนิด
ทำให้การหล่อลื่นได้ประสิทธิภาพไม่ดี

(อ่านเรื่องคุณสมบัติน้ำมันตั้งต้นได้ที่
https://www.facebook.com/DextrousLubricant.Amsoil/posts/1100019633341495:0)

ทำให้ต้องใช้สารสังเคราะห์ และสารเติมแต่ง มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ
และความสามารถในการหล่อลื่น เช่น Viscosity modifier Antioxidant additives
สารเพิ่มประสิทธิภาพการหล่อลื่น เป็นต้น

ดังนั้นความสามารถของการหล่อลื่นของน้ำมันกึ่งสังเคราะห์ ขึ้นกับความสามารถ
ของ สารสังเคราะห์และสารเติมแต่งปริมาณ 10-20% เท่านั้น
ปัญหาคือ สารเหล่านี้สามารถให้ผลดีได้ระยะสั้นเท่านั้น และจะเสื่อมสภาพหรือหมดไปอย่างรวดเร็ว

เราสามารถสังเกตได้ว่า การใช้งานน้ำมันประเภทกึ่งสังเคราะห์ (Semi-Synthetic) จะให้ประสิทธิภาพที่ดีในระยะแรกของการใช้งาน จากนั้น ในระยะกลางๆของการรับประกัน ประสิทธิภาพการหล่อลื่นจะลดลงอย่างรวดเร็ว (ลองสังเกตจากการเร่ง และอัตราการกินเชื้อเพลิง)

ซึ่งต่างจากน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ (Synthetic) ที่เนื้อน้ำมันทั้งหมดเป็นสังเคราะห์
มีคุณสมบัติการหล่อลื่นที่ดีอยู่แล้ว ดังนั้นประสิทธิภาพการหล่อลื่นไม่ได้ขึ้น
กับสารเติมแต่งมากนัก แต่มักจะใช้สารเติมแต่งจะคอยช่วยเสริมให้
การทำงานด้านอื่นๆดีขึ้น เช่น ช่วยป้องกันสภาพกรด ช่วยลดคราบสกปรก
ช่วยกระจายตะกอนไม่ให้รวมตัว ป้องกันการเกิดฟอง เป็นต้น

บทสรุป 
จากที่กล่าวมา น้ำมันเครื่องสังเคราะห์สามารถให้ประสิทธิภาพดีกว่า
กึ่งสังเคราะห์ ในทุกด้าน และมีความสามารถในการคงสภาพตลอด
ช่วงระยะของรับประกัน ถึงแม้ว่าราคาจะสูงกว่า แต่ก็เป็นสิ่งที่คุ้มค่าครับ